วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตำนานการสักยันต์

ตำนานการสักยันต์ 


คำเตือน: โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นความส่วนบุคคล โดยมิได้มีเจตนาลบหลู่หรือหลอกลวง หากท่านใดไม่เชื่อก็ขออย่าลบหลู่ เพราะของแบบนี้มีกันทุกศาสนา หากท่านใดเชื่อก็ขอให้เชื่ออย่างมีสติไม่ใช่งมงาย เพราะปาฏิหารย์จะเกิดกับคนเชื่อและศรัทธาเท่านั้น 

ในสมัยก่อนนั้น ชายไทยที่ก่อนจะออกไปรบและผู้ที่นิยมเครื่องรางของขลัง จะนิยมสักลายด้วยน้ำหมึกไว้บนร่างกายได้แก่ แผ่นหลัง หน้าอก ขา แขน ฯลฯ รอยสักน้ำหมึกจึงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นชายชาตรีมาตั้งแต่สมัยโบราณ สันนิษฐานว่าคงมีไล่เลี่ยกับการประดิษฐ์ตัวอักษรไว้ใช้จารึกเรื่องราวต่างๆนั่นเอง 

สำหรับการสักจารึกอักษรไว้บนแผ่นหลังของมนุษย์น่าจะเป็นอันดับแรก ก่อนจะสักตรงบริเวณอื่นของร่างกาย สมัยโบราณการบันทึกเรื่องราวเป็นลายลักอักษรใช้วิธี "จาร" (จารึก) ด้วยเหล็กปลายแหลม บนวัสดุที่หาได้ในสมัยนั้นได้แก่ ใบลาน และหนังสัตว์ คนโบราณทางภาคเหนือและอีสานใช้ปิดที่ทำจาก "ก้านxxxดปิด" คือผักxxxดก้านแข็ง(เฟิร์น) ชนิดหนึ่งตกแต่งทางโคลน คล้ายปากกาขนนก จุ่มปลายลงน้ำหมึกที่ทำจากเขม่า ผสมกับกาวเป็นน้ำหมึกดำเหมือนหมึกจีน เชื่อกันว่าการใช้น้ำหมึกสืบทอดมาจากจีน เพื่อใช้ในการเขียนสมุดข่อย ทางเหนือเขียนลงบนกระดาษสา เรียกว่า "พับสา" คล้ายกับสมุดไทย ทำขึ้นจากเยื่อไม้ สาตามวิธีของล้านนาเป็นแผ่นยาวผนึกกาวต่อกัน แล้วพับเป็นชั้นๆ จึกเรียกว่า "พับสา" การบันทึกทบความข้อความต่างๆ เช่นตำนาน จดหมายเหตุ ตลอดจน คัมภีร์ทางศาสนา ทางล้านนานิยมเขียนลงใบลานและพับสา 

ผมมีเรื่องราวความเป็นมาของการสักเลขยันต์ คาถาอาคมให้ฟังสนุกๆครับ คือเขาเล่าต่อๆกันมาว่า 

คนไทยสมัยโบราณที่เรียกตัวเองว่า "ชนเผ่าไท" ต้องไปศึกษาเอาวิชาความรู้จากเจ้าสำนักต่างๆ ที่มีชื่อเสียงใยสมัยนั้นก็คือเมืองตักกสิลา (เป็นเมืองใหญ่ในอินเดียโบราณ) ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของศลิปวิทยาแขนงต่างๆ ที่กว่าคนไทจะไปถึงต้องเดินทางรอนแรมไปด้วยเท้า เป็นเวลาประฒาณ 3 เดือนได้ ณ ที่นั่น ก็มีวิชาต่างๆให้ร่ำเรียนได้แก่ วิชาการต่อสู้ ทั้งมัดมวยและเพลงดาบ ตลอดจนถึงคาถาอาคม ไสยเวทย์และวิชาการแพทย์สมัยโบราณ 

เมื่อเรียนสำเสร็จจนจบหลักสูตรแล้วก็ต้องกลับบ้านเมืองของตน โดยต้องจดจำความรู้กันไปเอาเอง เนื่องจากอาจารย์เจ้าสำนักจะห่วงวิชามาก โดยตั้งเป็นกฏไว้เลย 

นักศึกษาเผ่าไทที่ได้ไปเรียนวิชาพวกนี้ ก็มีวิธีจะนำเอาวิชาต่างๆออกไป โอยแอบจารึกคาถาอาคม ตำรับตำรา ยันต์ต่างๆ ลงบนแผ่นหลัง โดยผู้ที่ร่วมเดินทางไปศึกษาด้วยกัน จะช่วยสักให้กันและกันทุกคน ซึ่งทุกคนก็เก็บเป็นความลับไว้ จนวันหนึ่งข่าวรั่วไปถึงหูอาจารย์ ทำให้เจ้าสำนักไม่พอใจชนเผ่าไทเป็นอย่างมาก เพราะศิษย์จากเมืองไทยได้ละเมิดกฏข้อห้าม โดยการลักลอบเอาศิลปวิทยาการ วิชาอาคมต่างๆกลับบ้าน 

ด้วยเหตุนี้เจ้าสำนักทั้งหลายจึงส่งคนติดตามไป และสั่งว่าถ้าพบให้กำจัดเสียให้หมดอย่าไว้ชีวิต แต่พวกชนเผ่าไททุกคนมีอาวุธที่ตนถนัดครบมือ และวิชาอาคมที่ติดตัวมา ทำให้คนที่เจ้าสำนักส่งมาสู้ไม่ได้ อีกทั้งคนไทเหล่านี้ยังคงกระพัน ฟัน แทงไม่เข้าอีกด้วย แม้จะถูกฟันก็ขาดแต่เพียงเสื้อ แต่ไม่ระคายผิวหนังเลย 

หลังเสร็จศึกหัวหน้ากลุ่มคนไทเหล่านี้ก็มานั่งวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ทุกคนคงกระพัน ชาตรี ทุกคนเชื่อว่ามีสาเหตุอันเนื่องมาจากรอยสัก อักขระและแผงยันต์บนแผ่นหลังนั่นเอง ที่ทำให้เกิดปาฏิหารย์เกิดความคงกระพันชาตรี 

นี่คือต้นกำเนิดของรอยสักที่แพร่กระจายไปทั่วเมืองไทยมาแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุปัน ทุกวันนี้ชายที่อายุ50-60 ทุกวันนี้ก็ยังมีรอยสักอยู่ หรือแม้กระทั้งคนรุ่นใหม่ตลอดจนบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ 

ทางภาคกลางและอีสานนิยมใช้อักขระขอม อาจรวมถึงภาคใต้ด้วย ส่วนทางภาคเหนือก็จะใช้อักขระภาษาพื้นเมืองของชาวล้านนาที่เกิดมาแต่ภาษามอญโบราณ 

เหตุที่คนในทุกสมัยนิยมสักยันต์กัน ก็เพื่อความคงกระพันชาตรี มีเมตตามหานิยม ป้องกันอันตราย ให้โชคให้ลาภ ความสวยงามของลายสักจะขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการสักหรือวัฒนธรรม เช่นคนจีนนิยมสักมังกรหรือเทพไว้ คนมอญจะสักรูปหงส์ไว้เพื่อให้รู้ว่าเป็นชาวมอญ ส่วนความขลัง พุทธคุณ อิทธิคุณ จะขึ้นอยู่กับลายสักนั้นๆ 

คนที่สักจะต้องปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด เพราะกฏแต่ละข้อนั้นสอนให้เป็นคนดีทั้งสิ้น ไม่ให้เที่ยวไปอวดหรือแอบอ้าง เพราะถ้าทำเช่นนั้นแล้วของจะเสื่อม 

การสักของวัยรุ่นสมัยนี้จะเน้นไปทางความสวยงามและโอ้อวดกันมากกว่า เพราะเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามกฏได้ เลยทำให้คุณค่าของลายสักน้อยลงไป 

ลายสักเป็นศิลปะของรุ่นปู่รุ่นย่า ผมไม่อยากให้มันหายไป เพราะลายสักเป็นสิ่งที่ดี ทางใช้ในทางที่ถูก ไม่ใช่การหลอกลวง อยากให้อนุรักษ์กันไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้ละ ช่วยให้ชาติเรามีเอกราชจนถึงทุกวันนี้ เพราะนักรบไทยสมัยก่อนมีลายสักกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ในสมัยก่อน 

"หากคุณยังดูถูกรากเง้าของตัวเอง แล้วเราจะเรียกตัวว่าเป็นผู้ที่เจริญแล้วได้อย่างไร


อ้างอิง

http://new.goosiam.com/news2/html/0010196.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น